กสิกรไทย ปักหมุดดัน ROE แตะ 2 หลักปี69 ควบคู่ ยกระดับแบงก์เทียบชั้นสากล
“กสิกรไทย” ปักหมุดแบงก์ 2 ปี ปั้น “อัตราผลตอบแทนต่อผู้ถือหุ้น” ขึ้นเป็น “สองหลัก” ปัจจุบัน 9.47% มุ่งยกระดับมาตรฐานแบงก์ไทยเท่ียบเท่าแบงก์สากล
การดำเนินธุรกิจขอภาค “ธนาคาร” ในปี 2568 ถือว่าไม่ง่าย ภายใต้การตั้งเป้าการเติบโต อีกด้านเต็มไปด้วยความท้าทายจากด้านของคุณภาพ “สินเชื่อ” ที่ด้อยคุณภาพลงต่อเนื่อง ที่อาจฉุดรั้งต่อการดำเนินธุรกิจของภาคธนาคารได้ระยะข้างหน้า
นางสาวขัตติยา อินทรวิชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KBANK เปิดเผยว่า การดำเนินธุรกิจของธนาคารในปี 2568 เชื่อว่า ยังคงมีความท้าทายไม่น้อยกว่า 2567
แต่ธนาคารยังคงมุ่งมั่นเป้าหมายสำคัญอย่างต่อเนื่องในปีหน้าคือ การส่งมอบผลตอบแทนที่ยั่งยืนให้กับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งระบบ ไม่ว่าจะเป็นลูกค้า ผู้ถือหุ้น พนักงานของธนาคาร ผู้กำกับสถาบันการเงิน รวมถึงสังคม และประเทศไทย ภายใต้ยุทธศาสตร์การดำเนินธุรกิจ 3+1 ของธนาคารอย่างต่อเนื่อง
รวมถึงการเดินหน้าผลักดันในการสร้าง “อัตราผลตอบแทนของส่วนผู้ถือหุ้น” (ROE) ให้เพิ่มเป็น 2 หลัก (Double digits) ให้ได้ในอีก 2 ปี หรือปี 2569 จากปัจจุบันที่ 9.47%
ซึ่งการจะเพิ่ม ROE ให้เพิ่มเป็น 2 หลักได้นั้น ยอมรับไม่ง่าย ดังนั้น แบงก์ต้องมีการยกระดับหลายด้าน ทั้งเพิ่มประสิทธิภาพการปล่อยสินเชื่อ ขยายธุรกิจ เพิ่มรายได้ค่าธรรมเนียม ฯลฯ
ทั้งนี้ หากดูธนาคารพาณิชย์ไทยเทียบกับทั้งโลก พบด้านผลงาน หรือ performance ยังไม่ได้มาตรฐานทั้งในแง่ของรายได้ การลดค่าใช้จ่าย การเพิ่มประสิทธิภาพองค์กร
รวมถึงประสิทธิภาพในการปล่อยสินเชื่อ ดังนั้น หากดูแบงก์ในประเทศอื่นๆ พบว่าวันนี้ ROE อยู่ที่ 2 หลัก ขณะที่เทียบกับแบงก์ไทยอยู่เพียงหลักเดียว
ดังนั้น เป้าหมายของธนาคารคือ การยกระดับมาตรการฐานแบงก์ไทย ยกระดับมาตราฐานแบงก์กสิกรไทยให้เท่าเทียมกับมาตรการแบงก์ระดับสากลให้ได้
“หากแบงก์ในประเทศต่างๆ พบว่าวันนี้ ROE เขาอยู่ที่เลขสองหลัก ดังนั้น เป้าหมายของเราคือ ขอไปตรงนั้น อยากยกระดับมาตรฐานตัวเองขึ้นมาให้เท่าเทียมกับมาตรการฐานในโลก ซึ่งการจะทำอย่างนั้นได้ เราต้องมีการยกระดับทั้งรายได้ การลดรายจ่าย รวมถึงด้านอื่นๆ ROE เราถึงปรับขึ้นมาได้”
นอกจากนี้ สำหรับแผนการดำเนินธุรกิจของธนาคารปี 2568 จะออกมาได้ชัดเจนราวเดือนก.พ. แต่โดยภาพรวมคาดว่า ในด้านสินเชื่อ น่าจะทรงๆ ตัวใกล้เคียงกับการขยายตัวของจีดีพี ที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินว่าปีหน้าเศรษฐกิจไทยจะเติบโตได้ที่ราว 2.4%
อย่างไรก็ตาม ปีหน้าธนาคารมีแผนลงทุนต่อเนื่องในด้านไอที นวัตกรรมและไอเอต่างๆเพื่อยกระดับธนาคารให้มีศักยภาพมากขึ้น โดยคาดว่างบลงทุนจะใกล้เคียงเดิมที่ราว 10% จากกำไรสุทธิของธนาคาร ซึ่งเป็นสิ่งที่ธนาคารให้ความสำคัญอย่างมากในระยะข้างหน้า เพื่อช่วยธนาคารยกระดับ Productivity ของธนาคารให้มากขึ้น
นางสาวขัตติยา กล่าวต่อว่า ภายใต้ความท้าทายมากขึ้นของเศรษฐกิจไทย และของธุรกิจแบงก์ ส่งผลให้การปล่อยสินเชื่อโดยรวมของแบงก์ที่ยังคงอยู่ในโหมดของการระมัดระวังอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สามารถควบคุมคุณภาพสินเชื่อให้อยู่ในระดับเป้าหมายได้
แต่เชื่อว่า จากการปล่อยสินเชื่ออย่างระมัดระวัง ควบคู่กับการขายหนี้ออกมาต่อเนื่อง ผ่านบริษัทร่วมทุน รวมถึงโครงการ “คุณสู้ เราช่วย” ที่มีส่วนช่วยแก้ปัญหาหนี้ให้กับลูกหนี้ได้ เหล่านี้จะมีส่วนช่วยให้ด้าน หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้หรือเอ็นพีแอลของธนาคารต่ำลง และอยู่ต่ำกว่าระดับ 3% ได้
“สำหรับกลุ่มฐานราก วันนี้ยังไม่ได้กลับมารุกการปล่อยสินเชื่อเหมือนในอดีต เนื่องจากวันนี้เราก็เจ็บตัวมาเยอะ ดังนั้น วันนี้เราอยู่ระหว่างการยกระดับแบงก์ นำ DATA และ AI ระบบเครดิตสกอริ่งต่างๆ เข้ามาช่วยลดความเสี่ยงในการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น เพราะธนาคารเชื่อว่าบนกลุ่มที่มีความเสี่ยงก็มีลูกค้าที่ดีเหมือนดัน ดังนั้น เราขอให้เรารู้จักลูกค้า และมีระบบมากขึ้นก่อนถึงสามารถปล่อยกู้กลุ่มฐานรากเหมือนที่ตั้งใจไว้”